วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

ความรู้เกี่ยวกับ SkyDrive


Windows Live SkyDriveคืออะไร

จัดเก็บ จัดระเบียบ และดาวน์โหลดไฟล์ รูปถ่าย และรายการโปรดของคุณในเซิร์ฟเวอร์ Windows Live และเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นจากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แบ่งปันรูปถ่ายและไฟล์ที่คุณสร้างกับเพื่อน ร่วมกันทำงานบนเอกสาร หรือแสดงรูปถ่ายและไฟล์ที่คุณสร้างเพื่อทุกคนบนเครือข่าย Windows Live เมื่อคุณลงชื่อเข้าใช้เว็บไซต์ Windows Live SkyDrive ด้วย Windows Live ID ของคุณ คุณจะได้รับ:
  • พื้นที่จัดเก็บ จัดเก็บรูปถ่ายและไฟล์ได้กว่าหลายพันไฟล์ ตัววัดพื้นที่จัดเก็บของ SkyDrive จะแสดงให้เห็นว่าคุณใช้พื้นที่ว่างไปแล้วเท่าใด
  • การจัดระเบียบ จัดเรียงไฟล์ของคุณในโฟลเดอร์ระดับบนสุดและโฟลเดอร์ย่อยที่คุณสร้าง
  • การควบคุม เลือกการอนุญาตสำหรับโฟลเดอร์ระดับบนสุดแต่ละโฟลเดอร์ที่คุณสร้าง เก็บรูปถายและรายการโปรดของคุณในโฟลเดอร์ส่วนบุคคลเพื่อใช้งานส่วนตัว หรือในโฟลเดอร์ที่ใช้ร่วมกันเพื่อใช้งานร่วมกันกับเครือข่ายWindows Live ของคุณ เครือข่ายเพิ่มเติมของคุณ และบุคคลในรายชื่อผู้ติดต่อ หรือในโฟลเดอร์สาธารณะเพื่อให้ทุกคนบนอินเทอร์เน็ตดู
  • ความสะดวก ติดตามรายการไซต์ที่คุณชื่นชอบแม้ในขณะที่คุณไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ของคุณเอง
  • ความยืดหยุ่น ย้าย คัดลอก ลบ เปลี่ยนชื่อ และใส่คำอธิบายรูปถ่ายและไฟล์หลังจากที่อัปโหลดแล้ว
  • การแสดงผล รูปถ่ายที่บันทึกเป็นชนิดไฟล์ JPG, JPEG, GIF, BMP, PNG, TIF และ TIFF จะแสดงด้วยรูปขนาดย่อ และผู้ใช้อื่นๆ สามารถดูได้ใน SkyDrive หรือในการแสดงภาพสไลด์แบบออนไลน์ หากพวกเขามีสิทธิ์ที่เหมาะสมในการดูรูป
  • การใช้ร่วมกัน แบ่งปันลิงค์ร่วมกันโดยตรงไปยังโฟลเดอร์ ไฟล์ และรูปถ่ายของคุณ หรือ Embed รูปถ่ายและไฟล์ในบล็อกหรือเว็บเพจ คุณยังสามารถให้บุคคลทราบว่าเพิ่มรูปภาพของพวกคุณลงใน SkyDrive ได้โดยการเพิ่มแท็กบุคคล
หมายเหตุ

หมายเหตุ

  • เมื่อคุณอัปโหลดรูปถ่ายหรือไฟล์ เพิ่มข้อคิดเห็น และดำเนินการอื่นๆ ใน SkyDrive Windows Live จะเพิ่มการดำเนินการเหล่านั้นลงในรายการมีอะไรใหม่ของคุณบนเว็บไซต์SkyDrive เพื่อให้คุณและผู้อื่นในเครือข่าย Windows Liveของคุณสามารถรับรู้ข้อมูลล่าสุดว่าแต่ละคนทำอะไรอยู่
  • SkyDrive มีตำแหน่งที่ตั้งสำหรับจัดเก็บไฟล์ของคุณแบบออนไลน์ แต่ไม่ใช่ไซต์ FTP และไม่ทำงานร่วมกับไคลเอนต์ FTP
  • Microsoft อาจจำกัดจำนวนไฟล์ที่ผู้ใช้แต่ละรายสามารถอัปโหลดไปยัง SkyDrive ในแต่ละเดือนได้
โปรดปฏิบัติตามกฎหมายลิขสิทธิ์ และให้ระมัดระวังสิ่งที่คุณแบ่งปันทางออนไลน์ ทั้งนี้ การคัดลอกหรือใช้เนื้อหาที่ไม่ได้รับอนุญาตร่วมกันถือเป็นการละเมิดข้อตกลงการใช้บริการของ Microsoft


วิธีการใช้งาน Windows Live SkyDrive
หลายคนที่ใช้งานชุดบริการของ Windows Live ของบริษัท Microsoft จะคุ้นเคยกับบริการต่างๆ เช่น
  • Windows Live Mail
  • Windows Live Spaces
  • Windows Live Messenger
  • Windows Live Photo Gallery
  • Windows Live SkyDrive
ซึ่งตัวสุดท้ายคือ SkyDrive มีมาได้สักพักนึงแล้ว แต่ไม่เคยได้สนใจเลย
วันนี้เลยถือโอกาสเอามาเขียนไว้ใน Blog ละกัน SkyDrive เหมือนเป็นไดร์ฟออนไลน์บนอินเตอร์เน็ต
ที่ให้พื้นที่ในการอัพโหลดไฟล์สูงถึง 25 GB ซึ่งสามารถเข้าถึงไฟล์ที่ฝากไว้ได้ทุกที่ ที่ต่ออินเตอร์เน็ต
โดยผู้ใช้งานต้องมี Account ของค่าย Microsoft ได้แก่ @MSN, @Hotmail และ @Live
ข้อดีคือ
  1. พื้นที่ฟรีถึง 25 GB (สุดยอด)
  2. สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เหมือนมีที่เก็บไฟล์ออนไลน์
  3. ผู้อื่นสามารถใช้ไดร์ฟร่วมกับเราได้ (ต้องมี Account ของ Microsoft)
  4. สามารถกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงไฟล์และโฟลเดอร์ของเพื่อนแต่ละคน
  5. สามารถกำหนดสิทธิ์เพื่อนแต่ละคนในการจัดการไฟล์ในโฟลเดอร์ได้
  6. แบ่งปันไฟล์กับผู้อื่นเป็นสาธารณะ
  7. สร้างโฟลเดอร์เองในไดร์ฟได้
  8. นำ URL และ Embed ไปใช้ในเว็บได้ เหมือนเป็นที่ฝากรูปฝากไฟล์
  9. ใช้งานง่ายเช่นเดียวกับหน้าต่างวินโดวส์
  10. อาจจะมีอีก แต่ยังนึกไม่ออก =.=
มาดูวิธีการใช้กันดีกว่า
ถ้าใช้ MSN อยู่แล้ว ในหน้าต่างหลัก MSN ให้คลิกเข้าไปที่ Go to your space
จากนั้นคลิกที่ Profile เมื่อคลิกที่ Profile เสร็จ ดูเมนูทางด้านซ้ายมือ ให้คลิกที่ SkyDrive
หากใครไม่มี Space ก็สามารถเข้าไปได้โดยตรงที่  http://skydrive.live.com จะให้ Sing In เข้าไป
หาก Login Mail หรือเล่น MSN อยู่แล้วจะเข้ามาที่หน้าต่าง SkyDrive ทันที
เมื่อเข้ามาที่ SkyDrive จะมีโฟลเดอร์ Defult อยู่ 4 โฟลเดอร์
ส่วนที่เป็น Document ที่เก็บไฟล์จะมีอยู่ มี 2 โฟลเดอร์ Documents กับ Public
Documents จะสามารถกำหนดสิทธิการเข้าถึงได้ ว่าจะอนุญาตใครบ้าง
Public จะเป็นไฟล์สาธารณะสามารถเข้าถึงได้ทุกคน

ส่วนที่เป็น Favorites กับ Shared Favorites จะเป็นที่เก็บลิ้งค์รายการโปรด
Favorites Link รายการโปรดสามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงได้
Shared Favorites Link รายการโปรด ที่กำหนดสามารถเข้าถึงได้ทุกคน

ส่วน Photo ด้านล่างจะเป็นรูปภาพที่อยู่ใน Space ของเราซึ่งใช้พื้นที่ส่วนนี้ในการเก็บไฟล์ด้วยเช่นกัน
พื้นที่ว่างที่ยังสามารถใช้ได้จะแสดงอยู่ด้านมุมขวาบน

หากต้องการ Add files หรือ Upload สามารถทำได้ 2 แบบ แบบแรกคลิกที่ Add files
คลิกเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการจะ Add File
อีกวิธีคือคลิกเข้าไปที่โฟลเดอร์นั้นแล้วคลิก Add files ด้านบน หรือหากยังไม่มีไฟล์ในโฟลเดอร์เลย
ก็คลิกที่ Why not add some files? ก็ได้
จากนั้นก็ Browse เลือกไฟล์ที่ต้องการ Upload หากไฟล์ที่จะ Upload เป็นภาพสามารถเลือกขนาดได้
หากต้องการภาพขนาดเดิมก็เลือก Original
เมื่อเลือกไฟล์เสร็จเรียบร้อยแล้ว คลิกที่ปุ่ม Upload ด้านล่าง
ไฟล์กำลัง Upload รอสักครู่
จากนั้นก็จะแสดงไฟล์ในโฟลเดอร์นั้นและไฟล์ที่ Upload ขึ้นไป หากเป็นรูปภาพ จะแสดงตัวอย่างภาพแบบ Thumbnails ซึ่งเราสามารถที่จะ Upload ไฟล์อื่นๆ นอกจากรูปภาพได้
ด้านบนจะเป็นคำสั่งต่างๆ ที่ใช้จัดการกับโฟลเดอร์ คล้ายกับในหน้าต่างวินโดวส์
Add files = ต้องการ Upload ไฟล์เพิ่มในโฟลเดอร์นี้
Create folder = การสร้างโฟลเดอร์ย่อยในโฟลเดอร์นี้
Slide show = การดูภาพในโฟลเดอร์แบบสไลด์โชว์
View : Icons = มุมมองในการดูไฟล์ในโฟลเดอร์ มีให้เลือก แบบ Icons, Details และ Thumbnails
Sort by : Name = การเรียงลำดับไฟล์ในโฟลเดอร์ จะมีให้เลือกคือ เรียงตามชื่อ วันที่ ขนาด ชนิด
More = ส่วนเพิ่มเติมประกอบด้วยคำสั่ง ส่งลิ้งค์ ดาวน์โหลดด้วย Photo Gallery แก้ไขการอนุญาต ลบ คุณสมบัติ
หากคลิกเข้าไปที่ไฟล์ จะแสดงไฟล์(เฉพาะรูปภาพเท่านั้น)
ด้านล่างจะแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับไฟล์ ซึ่งจะมี Address ที่อยู่หรือ Link ของไฟล์สามารถนำไปส่งต่อ
ให้กับเพื่อนๆ ได้ ซึ่งใช้ได้เหมือนกับเป็นที่ฝากรูปเพราะนำ URL ของรูปไปใช้ได้ นอกจากนี้ยังมีในส่วนของ
Embed สามารถนำไปแปะในหน้าเว็บได้
หากเป็นไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพ ก็จะแสดงเพียงไอคอนของไฟล์เท่านั้น ส่วนรายละเอียดของไฟล์มีเหมือนกัน
ด้านบนจะเป็นคำสั่งต่างๆ ที่ใช้ในการจัดการไฟล์นั้น ได้แก่ Download  Delete Move Copy Rename Embed
ขั้นตอนการ Move หรือย้ายไฟล์ู โดยไปคลิกที่ Move
เมื่อคลิก Move แล้วจะแสดงโฟลเดอร์ที่มีอยู่ใน SkyDrive ของเราทั้งหมด คลิกเลือกโฟลเดอร์ปลายทางที่เราต้องการย้ายไฟล์มาใส่
จากนั้นคลิกที่ Move this file into... ไฟล์จะทำการย้ายมา
การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง

ในโฟลเดอร์ Documents หรือโฟลเดอร์ที่มีรูปกุญแจอยู่ เราสามารถกำหนดสิทธิการเข้าถึงได้
อาจจะเลือกให้เข้าได้เฉพาะตัวเอง(Just Me) หรือเพิ่มบุคคลที่สามารถให้เข้าถึงได้ โดยคลิกที่ด้านล่าง
คลิกที่ Edit permissions
เลือกบุคคลที่เราจะอนุญาติให้เข้าโฟลเดอร์นี้ได้ โดยสามารถเลือกได้คือ
Everyone =ใครก็ได้สามารถเข้าโฟลเดอร์นี้ได้
My network = คนที่อยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อของเรา
Categories = ในกรณีที่มีการตั้ง Group ไว้ใน Contacts List จะสามารถเลือกได้เป็นกลุ่ม
หรือถ้าจะเลือกเป็นรายบุคคลให้คลิกที่ Select from your contact list
จะเป็นการเลือกการอนุญาตเป็นรายบุคคลจาก Contact List ของเรา
จากนั้นเมื่อเลือกบุคคลมาแล้ว สามารถเลือกได้อีกว่า จะให้คนคนนั้นสามารถทำอะไรได้บ้างกับไฟล์
มีให้เลือกแบบอ่านได้อย่างเดียว และ สามารถเพิ่ม แก้ไขรายละเอียด และลบไฟล์ได้ เสร็จแล้ว Save
วิธีการง่ายๆ ในการอัพโหลดไฟล์
จะมีเครื่องมือที่ช่วยให้การอัพโหลดไฟล์ง่ายขึ้นกว่าด้านบนที่กล่าวมาแล้ว
วิธีการคือ เมื่อถึงหน้าที่จะทำการ Browse ให้คลิกที่ Install the upload tool
จะปรากฏดังภาพ คลิกที่ Run
 จากนั้นรอสักครู่ ไฟล์กำลัง Download
เมื่อเสร็จแล้วคลิกที่ Run
 เสร็จแล้วจะได้หน้าตาของหน้าอัพโหลด เป็นดังภาพ ทำให้การอัพโหลดง่ายขึ้น
วิธีการอัพโหลดไฟล์คือ เปิดโฟลเดอร์ในเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วลากไฟล์ที่ต้องการอัพโหลดไปใส่ในพื้นที่สี่เหลี่ยม สามารถลากไปทีละหลายๆ ไฟล์ได้
จากนั้นคลิกปุ่ม Upload ด้านล่าง
จะแสดงสถานะการอัพโหลดที่ด้านล่าง
 รู้สึกคุ้มมากมีเนื้อที่ให้ฝากไฟล์ฟรีตั้ง 25 GB 

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความรู้เรื่อง Social network




ความหมายของ Social Network 
Social Network คือ สังคมออนไลน์ที่จะช่วยให้คุณหาเพื่อนบนโลกอินเตอร์เนทได้ง่ายๆ เราสามารถที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมา เพื่อแนะนำตัวเองได้ช่น
  • Hi5
  • Friendster
  • My Space
  • Face Book
  • Orkut
  • Bebo
  • Tagged
       Social Network คือ    สังคมออนไลน์นั่นเอง Social Network ยังเป็นการที่ผู้คนสามารถทำความรู้จัก และเชื่อมโยงกันในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หากเป็นเว็บไซต์ที่เรียกว่าเป็น เว็บ Social Network ก็คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกันนั่นเอง    
       เว็บไซต์ Social Network เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเว็บที่สร้างขึ้นมาเพื่อการตอบสนองความต้องการในการติดต่อธุรกิจหรือหาเพื่อนบนโลกไซเบอร์ทั้งสิ้น ดังที่พบได้ในปัจจุบัน ซึ่งมีความนิยมเป็นอย่างมากในโลกของอินเทอร์เน็ต ถัดไปเราจะมาทำความรู้จักเว็บไซต์ Social Network ของแต่ละบริษัทที่ได้รับความนิยมจากทั่วทุกมุมโลกรวมถึงในประเทศไทย

ตัวอย่าง Social network ที่ใช้ในปัจจุบันและการใช้งานในแต่ละแบบ
 
Hi5 (www.hi5.com)
       เว็บ Hi5 เป็นเว็บที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย ที่มีผู้ใช้บริการกว่า 7 แสนคนสำหรับหลายคนที่รู้จักและใช้บริการอยู่คงจะไม่ต้องอธิบายกันมาก เพราะคงรู้จุดประสงค์และการใช้งานดีอยู่แล้ว แต่หลายๆคนยังไม่ทราบว่าเจ้า hi5 นี่ใช้งานยังไง มีทำไม และเพื่อประโยชน์อะไร
       Hi5.com เป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้บริการมาฝาก profile ของตัวเอง คล้ายๆกับ blog เนี่ยแหละ แต่ว่าคนไม่ค่อยไปเขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราวในนั้นซะเท่าไหร่ จะเน้นที่ตกแต่งหน้าตา profile เราให้สวยงาม ดึงดูดคนมาเข้า แต่จุดเด่นของมันอยู่ที่ ระบบ network ที่เรามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ หรือบังเอิญเจอเพื่อนเก่าสมัยมัธยมเมื่อหลายสิบปีก่อน หรือเพื่อนของเพื่อน กิ้กเก่า แฟนเก่า .. แต่อีกหลายคนก็สมัครไปงั้นๆไม่ได้อะไรมากเพราะได้รับอีเมลชวนมาเล่น hi5 จากเพื่อน ...
ข้อดี
1.) มีโอกาสได้เพื่อนใหม่ๆและ keep connect กับเพื่อนเก่าๆ ที่บางคนอาจจะเลือนหายไปกับความทรงจำ (แต่พอส่ง msg คุยกันก็ไม่รู้จะคุยไร เพราะมันห่างกันมานาน)
2.) การเก็บรักษาความส่วนตัว ก็ใช้ได้ระดับหนึ่ง คือ ยังไงๆถ้าเราไม่บอก ไม่ว่าใครก็ไม่รู้อีเมลเรา แต่ถ้าอยากให้รู้ก็เขียนบอกไปเลยก็ได้ หรืออยากรู้ msn ใครก็แมสเสจไปหาเขาตรงๆ
3.) วิธีการสมัครง่าย และวิธีการทำ hi5 ให้สวยงามก็ง่าย
4. )ข้อดีก็เหมือน blog ทั่วไปๆแหละเพียงแต่คนเล่นนิยม เพราะมันดูทันสมัยและใช้งานง่าย
ข้อเสีย
1.) มีการพัฒนาเวบ อาจจะล่มบางครั้ง
2. )ใส่ลูกเล่นหรือปรับแต่งอะไรได้ไม่ค่อยเยอะ มันจะมี pattern อยู่แล้ว ก็จะปรับได้ส่วนของแบคกราวน์ สี font ตัวอักษร ใส่เพลง vdoclip 
3.) ไม่มีประโยชน์เท่าบล้อก เพราะคนเข้ามาดูรูปส่วนใหญ่ 


Friendster (www.friendster.com)
       Friendster
 ได้ก้าวขึ้นมาสู่หัวแถวของ Social Network ในประมาณเดือนเมษายน ปี 2004 ก่อนจะถูกไล่แซงโดย My Space ในเรื่องของผู้เข้าชมและจากการจัดอันดับของ Nielsen//NetRatings Frienster ได้รับการยอมรับว่าเป็นคู่แข่งของทั้ง Windows Live Spaces, Yahoo! 360, และ Facebook ในเวลาต่อมาก็ยังมี Hi5 ก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งสำคัญอีกด้วย

      Google เคยยื่นข้อเสนอขอซื้อ Friendster ในมูลค่า 30,000,000 $ แต่ถูกปฏิเสธ เพราะทาง Friendster ตัดสินใจว่าต้องการเป็นของส่วนตัวมากกว่าที่จะยื่นขายให้กับ Google
หลายท่านที่มีประสบการณ์การใช้งานคงจำได้นะครับ จู่ๆ เราก็ได้รับอีเมล์จากเพื่อนของเราบอกว่าเข้าไปสมัครบริการนี้สิ เราก็เข้าไป ลงทะเบียน ใส่ข้อมูลส่วนตัว เสร็จแล้วเราก็พบว่า เรามี “เพื่อน” อยู่ในระบบทันที 1 คน (คือคนที่ชวนเรามานั่นเอง) หลังจากนั้นก็เราก็ชักคิดถึงเพื่อนคนอื่นๆ ก็ค้นหาจากระบบดูว่ามีเพื่อนเราคงไหนอีกไหมที่ใช้เว็บนี้เหมือนๆ กัน ก็ไปชวนเข้ามาอยู่ในกลุ่มเพื่อนเรา ใครที่ไม่อยู่ เราก็ส่งอีเมล์ไปชวนให้มาเข้าระบบเสีย หลังจากนั้นเราก็อาจเริ่มรู้จักเพื่อนใหม่ๆ จากในระบบนี้เอง ทำให้เราถึงเสียเวลานั่งทำอะไรอย่างที่ว่าได้อย่างเพลิดเพลินและนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม Friendster.com ถึงมีผู้ใช้งานกว่า 7 ล้านคนภายในปีเดียว
My Space (www.myspace.com)
My Space คือ เว็บบล็อก ที่ทาง msn ให้ผู้ที่ใช้ msn ได้เข้าไปใช้บริการกัน ก็มีคำถามต่ออีกว่า เจ้า webblog คืออะไร สำหรับ เจ้า Web Blog ผมอยากให้เรานึกง่ายๆ ว่ามัน คล้าย ไดอะรี่ แต่ไม่ใช่นะครับ ย้ำ ว่า บล็อก ไม่ใช่ ไดอะรี่ โดยบล็อกจะมีความหลากหลายมากกว่า เพราะในบล็อก ผู้ที่เป็นเจ้าของเนื้อที่นั้น จะเป็นผู้ที่ดูแลเนื้อหา ว่า จะให้เป็นแนวไหน หรือว่าจะเป็นเนื้อเรื่องอะไร ส่วนหลายคนเอามาเป็น ไดอะรี่ นั้น ผิดไหม คงไม่ผิด คือมันแล้วแต่ว่า ผู้ดูแลจะเป็นอย่างไร
ข้อดี 
1. มีลูกเล่นค่อยข้างมากกว่าที่อื่นไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ Layout, Music ,Photo เป็นต้น รวมทั้ง
2. มีการแสดงให้เห็นใน Contact list ของ MSN อีกด้วย (เป็นรูปดาวๆหน้าชื่อนั่นล่ะครับ )
3. สามารถกำหนดสิทธิคนที่จะเข้าดูได้หลายระดับ
ข้อเสีย
1. เปิดดูได้ช้ามาก ยิ่งเน็ต 56K คงแทบหมดสิทธิ หากบล็อกมีลูกเล่นเยอะ
1.ยังไม่สามารถใส่พวก script แบบไดอารี่ หรือ บล็อกในหลายๆ ที่ได้ (อันนี้ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่สำหรับผม)
3. การเลือกจำนวนของ Entry หรือบทความที่จะแสดงในหน้าแรกของบล้อก ได้ต่ำสุดที่ 5 ดังนั้นใครที่นิยมเขียนอะไรยาวๆ ทำใจได้เลยครับว่า หน้าแรกของบล็อก คุณจะยาวสุดกู่เลยล่ะครับ สุดท้ายคือ
4. ความสามารถ ในส่วนของการกำหนดขนาดตัวอักษร ซึ่งผม ยังหาไม่เจอว่า มีการให้ใส่หรือ เลือกขนาดตัวอักษรสำหรับบทความได้ในจุดไหน ซึ่งอันนี้ผมคิดว่ามีความสำคัญทีเดียว การเล่นตัวอักษร เล็กใหญ่ มันช่วยเน้นข้อความและทำให้อ่านได้ง่ายขึ้น สรุปใจความได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องอ่านทั้งหมด ก็ได้ซึ่ง การเล่นสีและตัวหนา เพียงอย่างเดียว 
        
      มายสเปซ (MySpace) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของเครือข่ายชุมชน ชื่อดังเว็บหนึ่ง ให้บริการทำเว็บส่วนตัว บล็อก การเก็บ ภาพ วิดีโอ ดนตรี และเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มคนอื่น มายสเปซมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ เบเวอร์ลีย์ฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
มายสเปซก่อตั้งเมื่อ สิงหาคม พ.ศ. 2546 โดย ทอม แอนเดอร์สัน และ คริสโตเฟอร์ เดอโวล์ฟ ในปัจจุบัน มายสเปซมีพนักงานกว่า 300 คน และในตัวเว็บไซต์มีผู้ลงทะเบียนมากกว่า 100 ล้านคน และมีผู้ลงทะเบียนใหม่ประมาณ 200,000 คนต่อวัน
Face Book  (www.facebook.com)

      Mark Zuckerberg ก่อตั้ง Facebook เว็บชุมชนออนไลน์ (Social-Networking Site) ที่กำลังได้รับความนิยมสุดขีดในขณะนี้ เมื่อ 3 ปีก่อน ขณะยังเรียนอยู่ที่ Harvard ก่อนจะลาออกกลางคัน เจริญรอยตาม Bill Gates แห่ง Microsoft เพื่อเป็น CEO ของเว็บชุมชนออนไลน์ที่เขาก่อตั้งขึ้น ด้วยวัยเพียง 22 ปี
Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook เว็บ Social Network อันโด่งดัง
      ภายในเวลาเพียง 3 ปี เว็บที่เริ่มต้นจากการเป็นเว็บชุมชนออนไลน์สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย กลายเป็นเว็บที่มีผู้ใช้ที่ลงทะเบียน 19 ล้านคน ซึ่งรวมถึงข้าราชการในหน่วยงานรัฐบาล และพนักงานบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ เข้าเว็บนี้เป็นประจำทุกวัน และขณะนี้กลายเป็นเว็บที่มีผู้เข้าชมมากเป็นอันดับ 6 ในสหรัฐ 1% ของเวลาทั้งหมดที่ใช้บน Internet ถูกใช้ในเว็บ Facebook
      นอกจากนี้ยังได้รับการจัดอันดับเป็นเว็บที่ผู้ใช้ Upload รูปขึ้นไปเก็บไว้มากเป็นอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ โดยมีจำนวนรูปที่ถูก Upload ขึ้นไปบนเว็บ 6 ล้านรูปต่อวัน และกำลังเริ่มจะเป็นคู่แข่งกับ Google และเว็บยักษ์ใหญ่อื่นๆ 

Orkut  (www.orkut.com)     
      เว็บไซต์หาเพื่อนสำหรับกลุ่มนักท่องเว็บขี้เหงานั้นครองความนิยมมายาวนาน จนเกิดเว็บไซต์ใหม่ขึ้นมามากมาย แม้เต่เจ้าพ่อเสิร์จเอนจินอย่างกูเกิล (Google) เองก็ไม่ยอมน้อยหน้า ก้าวเท้าเดินตามรอยเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Friendster เพื่อเข้าสู่วงการ social networking ด้วยการเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาโดยให้ทีมวิศวกรของกูเกิลทำเป็นโปรเจคของตัวเอง กูเกิลใช้กลยุทธโปรเจคส่วนตัวนี้เพื่อสร้างเว็บไซต์ใหม่ๆขึ้นมาได้อย่างชาญฉลาด โดยเว็บไซต์นี้ใช้ชื่อว่า Orkut.com เพื่อใช้เป็นเว็บไซต์เชื่อมต่อระหว่างเพื่อนถึงเพื่อน ให้คุณสามารถสร้างความสนิทสนมได้บนความสะดวกสบาย
      การเป็น social networking นั้นอาจจะเรียกได้ว่า เป็นเน็ตเวิร์กกระชับมิตร เพราะด้วยความที่ให้บริการเป็นชุมชนออนไลน์ ยูสเซอร์อาจจะใช้เครือข่ายนี้เป็นตัวเชื่อมต่อเพื่อพูดคุยกับเพื่อนฝูง หรืออาจจะหาเพื่อนใหม่เพื่อนัดเดท ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเว็บไซต์หาเพื่อน ที่เคยฮอตฮิตในเมืองไทยบ้านเราอยู่พักใหญ่ เว็บไซต์ที่เข้าข่าย social networking นี้ จะเปิดให้ยูสเซอร์ตั้งชื่อ และเลือกชุมชนที่ต้องการ โดยจะสามารถโต้ตอบกับผู้คนที่อยู่บนเครือข่ายได้อย่างง่ายดาย แต่ในบางประเทศก็มีการนำเอา social networking นี้มาใช้ในการพัฒนาชุมชน โดยใช้เครือข่ายเป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อประชาชนในชุมชนกับกลุ่มองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้ประชาชนในชุมชน สามารถถ่ายทอดปัญหาและความต้องการได้โดยตรง จุดนี้เป็นประโยชน์อย่างมากในด้านการแสดงความคิดเห็น การเฝ้าระวังข้อมูล การมีส่วนร่วม การสะท้อนมุมมอง และการระดมทุน
      การเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของ Orkut.com จะต้องได้รับเชิญจากคนที่เป็นสมาชิกอยู่ก่อนเท่านั้น ซึ่งในขณะนี้มีสมาชิกนับพันกว่าคนแล้ว สมาชิกส่วนใหญ่เป็นพนักงานของกูเกิลแทบทั้งนั้น หน้าตาอินเตอร์เฟสของ Orkut.com นี้มีลักษณะคล้ายกับเว็บไซต์ social networking ทั่วๆไปอย่างเช่น Friendster, Tribe.net เว็บไซต์กระชับมิตรเหล่านี้เป็นที่จับตามองอย่างมากในปีที่ผ่านมา     
     ชื่อเรียก Orkut นั้นมาจากชื่อผู้สร้างคือ Orkut Buyukkokten (ออกัต บายุกอกเท็น) ซึ่งเป็นวิศวกรของกูเกิลที่สนใจเรื่องของชุมชนออนไลน์ กูเกิลสนับสนุนการสร้าง Orkut.com ด้วยการให้วิศวกรสามารถใช้เวลาหนึ่งวันต่อสัปดาห์เพื่อทำโปรเจคส่วนตัวของแต่ละคนในเวลางาน Eileen Rodriguez (ไอลีน โรดริกูเอซ์) ประชาสัมพันธ์ของกูเกิลกล่าวอีกด้วยว่า หากโปรเจคไหนน่าสนใจก็จะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ โดยการทดลองออนไลน์จริงเพื่อดูผลตอบรับจากบรรดานักท่องเน็ต
      โปรเจคส่วนตัวแแบบนี้ ทำให้เกิดบริการใหม่ๆที่เป็นประโบชน์เพิ่มขึ้นอีกมากมาย อย่างเช่น บริการ 2 บริการในเครือของกูเกิลที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ กูเกิล นิวส์ (Google News) และ ฟลอกเกอร์ (Froogle) ทั้ง 2 บริการนี้เป็นบริการเบต้าเวอร์ชั่น คำว่าเบต้าเวอร์ชั่นนั้น คือการอยู่ในระหว่างการทดลองใช้ โดยกูเกิล นิวส์นั้นเป็นเว็บไซต์บริการข่าวจากกูเกิล ส่วนฟลอกเกอร์ เป็นเว็บไซต์ช่วยเสิร์จสินค้าในแคตตาล็อก
   

Bebo  (www.bebo.com)       
       Bebo เป็นเครือข่ายทางสังคมแห่งยุคอนาคตที่ทำให้นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัยสามารถติดต่อกับเพื่อน หาเพื่อนที่ขาดการติดต่อกันไปนาน และพบปะกับผู้คนใหม่ๆ หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนก.ค.ปีที่แล้ว ในเวลาแค่ 7 เดือน เครือข่ายทางสังคมแห่งนี้ก็มีสมาชิกจดทะเบียนมากกว่า 22 ล้านรายที่เข้ามาดูหน้าเว็บเพจถึงกว่า 700 ครั้งต่อเดือน Bebo เป็นบริษัทเอกชนที่บริหารงานโดยทีมบริหารที่มีประสบการณ์ในเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทได้เปิดตัวเว็บไซท์เครือ ข่ายสังคมลำดับแรกๆคือ Ringo.com ซึ่งต่อมาเขาได้ขายเว็บดังกล่าวให้แก่ Tickle (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Monster ในปัจจุบัน) และล่าสุด อดีตประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจจาก Friendster ได้เข้ามาร่วมงานกับ Bebo นอกจากนี้ ทีมงานของ Bebo.com ยังเปิดเว็บไซท์อีกเว็บที่ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบปากต่อปาก (word of mouth) นั่นคือ BirthdayAlarm.com ซึ่งมีสมาชิก 40 ล้านคน
      Bebo เป็น Social Network ที่ถูกออกแบบมาดี โทนสีของเว็บไซต์ดูแล้วสบายตา ใช้งานง่าย มีการจัดระบบติดต่อผู้ใช้ได้ดี คนที่ไม่มีพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้แบบไม่ติดขัด รูปร่างหน้าตาของบล็อกดูไม่รกหูรกตา รองรับการปรับแต่งได้หลากหลาย
ที่มา : http://lastberry.myfri3nd.com/blog/2008/04/05/entry-1
Twitter (www.twitter.com)
           ทวิตเตอร์(Twitter) เป็นบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จำพวกไมโครบล็อก โดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ หรือ ทำการทวีต (tweet - ส่งเสียงนกร้อง) ทวิตเตอร์ก่อตั้งโดยบริษัท Obvious Corp เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2006 ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ข้อความอัปเดตที่ส่งเข้าไปยังทวิตเตอร์จะแสดงอยู่บนเว็บเพจของผู้ใช้คนนั้นบนเว็บไซต์ และผู้ใช้คนอื่นสามารถเลือกรับข้อความเหล่านี้ทางเว็บไซต์ทวิตเตอร์,อีเมล,เอสเอ็มเอส,เมสเซนเจอร์หรือผ่านโปรแกรมเฉพาะอย่าง Twitterific Twhirl ปัจจุบันทวิตเตอร์มีหมายเลขโทรศัพท์สำหรับส่งเอสเอ็มเอสในสามประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และสหราชอาณาจักร
           ปัจจุบันประเทศไทยเองก็มีบริการลักษณะนี้เช่นกัน นั่นคือ Noknok และ Kapook OnAir เว็บไซต์แห่งหนึ่งถึงกับรวบรวมบริการแบบเดียวกับทวิตเตอร์ได้ถึง 111 แห่ง ตัวระบบซอฟต์แวร์ของทวิตเตอร์เดิมทีนั้นพัฒนาด้วย Ruby on Rails จนเมื่อราวสิ้นปี ปี 2008 จึงได้เปลี่ยนมาใช้ภาษา Scala บนแพลตฟอร์มจาวา จนกระทั่งปี 2009 ทวิตเตอร์ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างมาก จนนิตยสารไทม์ ฉบับวันที่ 15 ปี 2009 ได้นำเอาทวิตเตอร์ขึ้นปก และเป็นเรื่องเด่นประจำฉบับ ภายในนิตตสารบทบรรณาธิการกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงการนำเสนอข่าวที่มีที่มาจากเทคโนโลยีใหม่อย่างทวิตเตอร์ โดยทวิตเตอร์เป็นเว็บไซต์ที่ก่อตั้งขึ้นโดย แจ็ก คอร์ซีย์ บิซ สโตน และอีวาน วิลเลียมส์ เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2006


Multiply (www.multiply.com)
              มัลติพาย (multiply) เป็นเว็บไซต์ Social Network ที่ให้บริการบล็อก(Blog) หรือเว็บบล็อก (Weblog) เป็นเว็บไซต์สำหรับเขียนบันทึกเล่าเรื่องราวประจำวัน เพื่อสื่อสารความรู้สึกนึกคิด มุมมอง ประสบการณ์ ความรู้ และข่าวสาร ในเรื่องที่ผู้เขียน(Blogger) สนใจโดยเฉพาะ ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้บล็อกต่างกับเว็บบอร์ด และเนื่องจากความจริงใจ และอิสระทางความคิดที่สื่อสารออกไป ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะของการบอกถึงความเป็นตัวตน ของผู้เขียนได้เป็นอย่างดี จึงทำให้บล็อก(Blog) เป็นสื่อที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันและนานาประเทศ
             มัลติพายเป็น Blog บริการฟรีโดย Multiply สามารถจัดการ เรียบเรียงเรื่องราวใหมๆ ลงสูอินเทอรเน็ตได้ เราสามารถนํา Multiply มาทําเป็นลักษณะของไดอารี่ออนไลนไดโดยจะเปนการเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ได้ ไมมีขอบเขตจํากัด สามารถนํารูปภาพ วิดีโอ พร้อม ทั้งบันทึกผานออนไลนไดพรอมกันนั้นยังสามารถ Comment เรื่องราวต่างๆที่ผูเขียนเขียนขึ้นไดอีกด้วย รวมถึงมีสมุดเยี่ยมบนออนไลน์ให้ทุกๆ คนได้มีความสนุกสนานกับการเขาเยี่ยมชม


 Flickr (www.flickr.com)
               Flickr เป็นเว็บไซต์ที่มีต้นกำเนิดจากแคนาดาในปี 2004 ซึ่งบริษัท Ludicorp ที่สร้าง Flickr นี้เป็นบริษัทที่ทำเกมออนไลน์มาก่อน ในตอนแรกนั้นทางบริษัท จะเน้นไปที่ห้องแชตที่สามารถแชร์รูปให้กับคู่สนทนาได้ แต่ต่อมาได้รับความนิยมอย่างสูง จนกลายเป็นเว็บไซต์เพื่อการแชร์รูปที่มีผู้เข้าใช้งานจำนวนมาก จนทำให้ Yahoo หันมาสนใจธุรกิจนี้และนำเอากิจการของ Flickr มาปรับให้มีขนาดใหญ่และรองรับสมาชิกของ Yahoo เองด้วย ผู้ใช้งานWebmail ของ Yahoo ก็สามารถใช้ Username และ Password ที่ใช้กับเมลมาใช้กับ Flickr ได้ทันทีโดยไม่ต้องสมัครใหม่ ทำให้ผู้ใช้งาน Flickr ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
          การใช้งานของ Flickr นั้นทำได้อย่างง่ายดาย โดยการอัพโหลดรูปนั้นทำได้โดยเลือกรูปในคอมพิวเตอร์ของเราอัพโหลดขึ้น เว็บไซต์ทีละรูป นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถโหลดโปรแกรม Upload ที่เป็น Application สำหรับการใช้งานบน Windows เพื่อช่วยในการอัพโหลดภาพให้ง่ายมากขึ้น เหมาะกับการอัพโหลดคราวละมากๆ
ความสามารถในจัดเก็บรูปภาพมีมากขึ้นและสะดวกขึ้น ตัวอย่างเช่น
- สามารถทำการถ่ายข้อมูลรูปภาพจากกล้องดิจิตอลไปลงในคอมพิวเตอร์ได้)
- สามารถจัดเก็บรูปภาพตามหมวดหมู่ให้เลือกมากขึ้น แถมด้วยแผนที่เพิ่มเติมให้ทราบถึงแหล่งที่มาอีกด้วย
- แชร์รูปภาพกับเพื่อนหรือครอบครัวได้หรือสั่งการได้ตามต้องการหรืออาจแชร์สู่ที่สาธารณะ
- ให้อำนาจในการจัดการมากขึ้น เราสามารถอนุญาตให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวของเราเข้ามาจัดตกแต่งหรือทำอะไรได้ตามที่เราต้องการ ภายใต้การควบคุมของเรา
- สามารถทำบล๊อกได้
- ถ่ายโอนภาพจากที่อื่น เข้าอัลบัม flickr เพื่อรวบรวมไว้ในที่เดียวได้


Odoza (www.odoza.com)
                  เว็บไซต์ Social Network ของเมืองไทยบ้านเรา กันดูบ้าง หากจะมองว่าเว็บไซต์ Social Network ในประเทศไทยจะมีเว็บไหนได้บ้าง ลองดูเว็บไซต์  ที่มีความชัดเจนในเนื้อหาเฉพาะด้าน อย่าง Social Network เรื่องของการท่องเที่ยว อย่างเว็บไซต์ odoza (โอโดซ่า) ที่ให้คนที่ชื่นชอบในเรื่องท่องเที่ยวได้มาทำความรู้จักกัน ได้มีพื้นที่ในการ share รูปภาพหรือวีดีโอคลิป ที่ตนเองได้ไปเก็บภาพหรือได้ไปเที่ยวมาแบ่งปันกัน หากใครเป็นผู้ที่รักการท่องเที่ยว อยากจะแบ่งปันข้อมูลรูปภาพแหล่งท่องเที่ยวหรือวิดีโอก็สามารถใช้บริการ Social Network ของไทยเว็บนี้กันได้
ที่มา : http://thaigoodview.com/node/93003


หลักการทำงานของ social networks

     เครือข่ายสังคมออนไลน์ (social metworks) ประกอบด้วย
1. Node หรือ หน่วยย่อย หรือ บุคคลทั่วไป เป็นสมาชิกคนหนึ่งของเครือข่าย ที่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
2. Hub หรือ ผู้เป็นศูนย์กลางของ node มักทำหน้าที่เป็นผู้ รับ-ส่งข่าวสารต่างๆ จาก node ภายในกลุ่ม แล้วกระจายข่าวสารที่ได้รับมา ส่งต่อให้กับ บุคคลอื่น หรือ ระหว่างกลุ่ม ก็ได้ มักเป็นผู้ชอบศึกษาเรียนรู้ ตลอดเวลา มีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นที่ไว้วางใจ น่าเชื่อถือ
คนที่ทำตัวเป็น Hub นั้น เมื่อ ทำหน้าที่ได้ดี เป็นที่ไว้วางใจจากบุคคลทั่วไป ในกลุ่ม ก็จะกลายเป็นผู้เชื่อมต่อ (Connector) ไปด้วย เป็นนักประสานผลประโยชน์ นอกจากนี้ยังเป็นนักขาย ได้อีกด้วย
การขยายตัวของเครือข่ายทางสังคมได้อย่างมากมาย และรวดเร็วนั้น มาจาก
       1.) words of mouth ปากต่อปาก ดึงกันเข้ามาในเครือข่าย กลุ่มเพื่อนกัน สถาบันเดียวกัน ที่ทำงานเดียวกัน รุ่นเดียวกัน เป็นต้น
       2.) การใช้โปรแกรมซอร์ฟแวร์อัตโนมัติ เมื่อ เพื่อนเราคนหนึ่งเกิดเป็นสมาชิกในเครือข่ายทางสังคม แล้ว เจ้าโปรแกรมที่ว่านี้ จะคัดลอก(เอง) รายชื่อที่อยู่ในคอมพิวเตอร์(contact list) ของเพื่อนเรา ซึ่งจะมีอีเมลเรา และ คนอื่นๆ แล้วกระจายมาให้เรา และคนอื่นๆ เพื่อชักชวนให้สมัครเป็นสมาชิก (เหมือนเพื่อนเรา) อันนี้เป็นกลยุทธที่แยบยลมากๆ ทำให้เครือข่ายขยายได้ไม่มีที่สิ้นสุด และรวดเร็ว
ที่มา : http://smartthailand.blogspot.com/2009/05/social-networks.html


ประโยชน์ของ Social network 

1.) เราสามารถใช้เว็บเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารข้อความต่างๆ ไม่ว่าของตนเองหรือขององค์กรออกไปยังคนกลุ่มหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางด้านการตลาดแต่อย่างใด บางคนก็เรียกเป็นกลยุทธ์ปากต่อปาก หรือ Viral Marketing ที่เมื่อเราโพสต์ข้อความบางประการลงไปในเว็บสังคมออนไลน์เหล่านี้ คนจำนวนมากที่เป็น "เพื่อน" ของเราหรือติดตามเราอยู่ ก็จะได้รับข้อมูลเหล่านั้น
2.) เป็นสื่อในการส่งข้อความแล้ว เรายังสามารถใช้เว็บสังคมออนไลน์เป็นที่ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับองค์กรที่เราทำงาน เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่เราใช้ หรือเกี่ยวกับการเมือง ดังนั้น ถ้าใช้ให้ดีๆ แล้วสังคมออนไลน์เหล่านี้ จะกลายเป็นช่องทางในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าและบริการต่างๆ
3.) สามารถใช้เว็บเหล่านี้เป็นกลไกในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข่าวสารดีๆ เกี่ยวกับองค์กรของตนเองไปยังบุคคลต่างๆ รอบๆ ตัวเรา เช่น เวลาหลักสูตรที่ดูแลจะรับสมัครนิสิตรุ่นใหม่ ก็จะใช้ FB เป็นกลไกในการประกาศรับสมัครนิสิต หรืออย่างที่คณะบัญชี จุฬาฯ จะจัดสัมมนา Management Cockpit ในวันพฤหัสที่จะถึงนี้ ผมก็ไปปล่อยข่าวไว้ทั้งใน FB และ Twitter ของตนเอง
 4.) บางองค์กรยังใช้ FB และ Twitter เป็นเครื่องมือในการตอบคำถาม หรือข้อข้องใจของลูกค้าเกี่ยวกับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับสินค้าและบริการต่างๆ โดยจะมีพนักงานคนหนึ่งทำหน้าที่ในการติดตามข่าวสารหรือข้อร้องเรียนต่างๆ ที่ปรากฏใน FB และ Twitter และทำหน้าที่ในการชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ รวมทั้งตอบคำถามที่ปรากฏอยู่ในเว็บสังคมออนไลน์เหล่านี้ 

        ปัจจุบันในเมืองไทยนั้น Twitter กำลังเป็นที่นิยมกันในระดับหนึ่ง (และเริ่มมากขึ้นหลังกลายเป็นสมรภูมิระหว่างผู้นำประเทศในปัจจุบันและอดีตผู้นำประเทศ) แต่ที่กำลังฮิตๆ กันมากก็หนีไม่พ้น Facebook ที่ในอดีตเว็บในลักษณะนี้ เป็นแหล่งชุมนุมของวัยรุ่น (Hi 5 เป็นต้น) แต่พอมาเป็น Facebook แล้วปรากฏว่ากลุ่มที่ไม่ใช่วัยรุ่นจะหันมาใช้และเล่นกันมากขึ้น มีงานวิจัยในอังกฤษที่ชี้ให้เห็นว่าวัยรุ่นในอังกฤษได้เริ่มลดความสนใจในเว็บ Social Networking ลงไป เหมือนกับว่าเว็บ Social Networking เหล่านี้ เริ่มถึงจุดอิ่มตัวสำหรับวัยรุ่น แต่ถ้าเป็นวัยผู้ใหญ่ กลับตอบรับต่อ Facebook ด้วยดี ซึ่งก็คล้ายๆ ในไทยที่ปัจจุบันเห็นวัยผู้ใหญ่หันมาเล่น และใช้ Facebook กันมากขึ้น
      อย่างไรก็ดี เราคงต้องหาทางใช้เว็บเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์บ้าง ไม่ใช่เป็นสถานที่บ่น ระบายอารมณ์ หรือเป็นที่หยอดคำหวานๆ ของชายหนุ่ม  
 ที่มา : http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2009q3/2009august11p3.htm

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทำความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550


พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
  • พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550  และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นไป
ทำไมต้องมีพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์
  • เพราะ คอมพิวเตอร์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน มีการใช้คอมพิวเตอร์โดยมิชอบส่งผลเสียต่อบุคคลอื่นมีการใช้งานคอมพิวเตอร์ในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือลามกอนาจาร จึงต้องมีมาตรการควบคุม 
ความผิดที่เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ. ฉบับนี้
  • การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
  • การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์  ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
  • การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ
  •  การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
  • การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม  ข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ
  •  การกระทำเพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
  • การส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์รบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของคนอื่นโดยปกติสุข 
  • การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด 
  • การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น ผู้ให้บริการจงใจสนับสนุนหรือ  ยินยอมให้มีการกระทำความผิด 
  • การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล
ผู้ให้บริการที่ระบุใน พ.ร.บ. นี้ คือบุคคลใด
ผู้ให้บริการตาม พ.ร.บ.นี้  สามารถจำแนก 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
  • ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมไม่ว่าโดยระบบโทรศัพท์ระบบดาวเทียม ระบบวงจรเช่าหรือบริการสื่อสารไร้สาย
  • ผู้ให้บริการการเข้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไม่ว่าโดยอินเทอร์เน็ต ทั้งผ่านสายและไร้สาย หรือในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดตั้งขึ้นในเฉพาะองค์กรหรือหน่วยงาน
  • ผู้ให้บริการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ หรือให้เช่าบริการโปรแกรมประยุกต์ (Host Service Provider)
  • ผู้ให้บริการข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่าน application ต่างๆ ที่เรียกว่า content provider เช่นผู้ให้บริการ web board หรือ web service เป็นต้น
ข้อมูลของผู้ใช้บริการ
  • ผู้ให้บริการทั้งที่เสียค่าบริการหรือไม่ก็ตาม ต้องเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็น เพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้  ไม่ว่าจะเป็น ชื่อนามสกุล เลขประจำตัวประชาชน USERNAME หรือ PIN CODE   ไว้ ไม่น้อยกว่า 90 วัน นับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง 
  • ผู้ให้บริการไม่ได้เก็บข้อมูลผู้ใช้บริการไว้ถือว่าทำผิดและอาจถูกปรับสูงถึง 500,000 บาท 
          ต่อไปไม่ว่าจะไปใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ตรงจุดใดจะต้องมีการแจ้งลงทะเบียนโดยต้องใส่ username และ password เพื่อให้ผู้ดูแลระบบเครือข่ายสามารถเก็บบันทึกการเข้ามาใช้งานของได้  รวมถึงเว็บบอร์ดทั้งหลาย ซึ่งมีผู้มาโพสเป็นจำนวนร้อย - พัน รายต่อวัน   เว็บมาสเตอร์ และผู้ดูแลโฮสติ้ง หรือผู้ทำอาชีพเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  อาจเสี่ยงต่อการระมัดระวังข้อความเหล่านั้น  พระราชบัญญัตินี้ จะมีผลกระทบกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตโดยทั่วไป เพราะหากท่านทำให้เกิดการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ (ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ)ก็อาจจะมีผลกับท่าน และที่สำคัญ คือ ผู้ให้บริการ ซึ่งรวมไปถึงหน่วยงานต่างๆที่เปิดบริการอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้อื่นหรือกลุ่มพนักงาน  นิสิต นักศึกษาในองค์กร  ผู้รับผิดชอบมีหน้าที่ดูแลอย่างรอบคอบในฐานะ "ผู้ให้บริการ" 

ผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต 
ในฐานะบุคคลธรรมดาไม่ควรกระทำในสิ่งต่อไปนี้
       เพราะอาจจะทำให้ “เกิดการกระทำความผิด" ตาม พรบ.นี้

1. ไม่ควรบอก password แก่ผู้อื่น 


2. อย่าให้ผู้อื่นยืมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อเข้าเน็ต

3. อย่าติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายในบ้านหรือที่ทำงานโดยไม่ใช้มาตรการการตรวจสอบผู้ใช้งานและการเข้ารหัสลับ
4. อย่าเข้าสู่ระบบด้วยuser ID และ password ที่ไม่ใช่ของท่านเอง
5. อย่านำ user ID และ passwordของผู้อื่นไปใช้งานหรือเผยแพร่
6. อย่าส่งต่อซึ่งภาพหรือข้อความ หรือภาพเคลื่อนไหวที่ผิดกฎหมาย
7. อย่า กด remember me" หรือ "remember password ที่เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ และอย่า log-in เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินที่เครื่องสาธารณะ
8. อย่าใช้ WiFi (Wireless LAN) ที่เปิดให้ใช้ฟรีโดยปราศจากการเข้ารหัสลับข้อมูล 

ความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์  
1.  เจ้าของไม่ให้เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของเขา แล้วเราแอบเข้าไป
     จำคุก 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.  ไปรู้วิธีการเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
      แล้วไปยังไปบอกให้คนอื่นรู้ต่อ
     จำคุกไม่เกิน  1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3.  แอบไปเจาะข้อมูลของผู้อื่นที่เก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์
     จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4.  แอบไปดักจับข้อมูลผู้อื่นระหว่างการสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
     จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5. ไปแก้ไขข้อมูลของในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
     จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน100,000บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
6.  ส่ง  packet หรือ message หรือ virus หรือ trojan หรือ worm
     หรืออะไรก็ตามเข้าไปก่อกวนจนระบบผู้อื่น
     จำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
7.  ส่งข้อมูลหรืออีเมล์ ให้ผู้อื่นซ้ำๆ โดยผู้รับไม่ได้ร้องขอ
     ปรับไม่เกิน100,000บาท
8.  ความผิดผิดข้อ 5. กับ ข้อ 6. ทำให้บุคคลทั่วไปเกิดความเสียหาย
     จำคุกไม่เกิน 10 ปีและปรับไม่เกิน200,000บาท
     หากก่อความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ เศรษฐกิจ และสังคม
     จำคุกตั้งแต่ 3 - 5 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 -  300,000บาท
     และถ้าทำให้ใครตายก็จะเพิ่มโทษเป็น .. จำคุกตั้งแต่ 10ปีถึง 20
9. ถ้าเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์เพื่อทำให้ทำความผิดในหลายข้อข้างต้น
    จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
10.  สร้างภาพโป๊  เรื่องเท็จ  ทำการปลอมแปลง  กระทำการใดๆที่กระทบความมั่นคงก่อการ           ร้าย และส่งต่อข้อมูลทั้งๆที่รู้ว่าผิด ตามที่กล่าวมาข้างต้น 
      จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
11.  เจ้าของเว็บ สนับสนุน / ยินยอมให้เกิดข้อ 10.     
       จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
12.  เอารูปผู้อื่นมาตัดต่อแล้วเอาไปเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์     
       จำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 60,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ